ในบรรดาวิธีการหาเงินออนไลน์ วิธีการหนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ การขายของออนไลน์ หลายคนมีความใฝ่ฝันที่อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากจะเป็นเจ้าของกิจการ อยากขายของต่างๆนานา ในอดีตอาจจะทำได้ยาก แต่ในยุคปัจจุบัน ขายของออนไลน์ ขายสินค้าออนไลน์ นั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่มันสามารถทำได้จริงด้วยตัวเอง แต่ในกรณีที่คุณไม่มีธุรกิจส่วนตัวที่บ้าน ไม่รู้จักใคร ไม่ชอบไปไหน คุณจะหาสินค้าจากไหน อีกทั้งไม่มีร้าน แล้วจะคุณจะขายของยังไง ?
วันนี้ผมจะมาขอแชร์ประสบการณ์ และขอความช่วยเหลือ ที่ผมเปิดร้าน “ขายของออนไลน์” ให้กับหลานตัวเอง
(บอกก่อนว่า เปิดเล่นๆ และยังขายไม่ได้เลย 555+ เพราะหน้าที่ผมคือ “เปิดร้าน” เฉยๆ)
จุดเริ่มต้น !!
หลานสาวของผม ชื่อ “มาย” อายุ 10 ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.4 เป็นเด็กสาวที่เหมือนเด็กทั่วๆไป คือชอบเล่นของเล่นตามแบบฉบับเด็กผู้หญิง วันหนึ่งเธอไปสำเพ็งและซื้อของเล่นใหม่มาเรียกว่า “สกุชชี่” …. ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ? แต่น้องมายบอกว่า มันเป็นของเล่นที่กำลังนิยม ในช่วงเวลานั้น ซึ่งก่อนหน้าจะเป็น แป้งโด หนังยางลูมแบนด์ แล้วมา สกุชชี่ และปัจจุบันคือ สลัม (อะไรว่ะ สลัม! เด็กสมัยนี้มันเล่นบ้าอะไรกันนิ !!) สำหรับ สกุชชี่มันเป็นของเล่นที่กดแล้วมันนิ่มๆ คล้ายๆฟองน้ำตกแต่งลวดลายต่างๆ ซึ่ง น้องมายซื้อมา 2 ห่อ เป็นสกุชชี่แฮมเบอร์เกอร์ บอกว่าเก็บไว้เล่นเอง 1 ห่อ อีกห่อจะเอาไปขายเพื่อนที่โรงเรียน
Ok – 1 ห่อ มี 4 ชิ้น ห่อละ 100 บาท
วันรุ่งขึ้น ก็เอาไปขายเพื่อนที่โรงเรียน กลับมาบ้านตอนเย็น หน้าบาน ยิ้มแฉ่ง เที่ยวประกาศบอกทุกคน ว่า ขายหมดเกลี้ยง!! แถมเพื่อนยังสนใจอยากขอซื้ออีก ทุกคนในบ้านรู้สึกภูมิใจและดีใจ (เออดีมันรู้จักหาเงินตั้งแต่เด็ก) … ซึ่งผมก็แอบดีใจกับมันนิดๆ แต่ผมยิงคำถามไป 1 คำถาม “แล้วไหนเงิน ?” น้องมายควักแบงค์ออกมาโชว์อย่างภูมิใจ (มีสะบัดแบงค์ + ทำหน้าตาเยาะเย้ยใส่ผม) เป็นแบงค์ 20 จำนวน 4 ใบ
Ok – 20 x 4 ก็ 80 บาท
No – แล้วหายไปไหนอีก 20 แม่คนเก่ง ?
น้องมายตอบว่า “ไม่ได้หาย หนูขายอันละ 20 บาท 4 อันก็ 80 ถูกแล้วนิ”
ผมถามว่า “ทำไมไม่ขายอันละ 30 จะได้ได้กำไร หรือ อย่างน้อยก็ 25 จะได้เท่าทุน”
ก็ได้คำตอบว่า “เพื่อนหนูไม่มีตัง มีแค่ 20”
(สรุปว่า หลานผมมันขายได้ … แต่ขายขาดทุน!!)
ซึ่งผมก็บ่นๆไป และในใจคิดว่า ถ้าแบบนี้ ต้องหาซื้อ สกุชชี่ ที่ราคาทุน มันต่ำกว่า 20 บาท หลานถึงจะเอาไปขายแล้วได้กำไร และในคืนนั้นเอง ผมก็ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา (สงสัยเห็นหลานขายของได้ เลยอยากส่งเสริม) เลยไปนั่งหาข้อมูล ว่าสกุชชี่คืออะไร หาซื้อได้จากไหน แหล่งที่ขาย แหล่งผลิต มีเจ้าไหนที่ขายถูกๆบ้างทางเนต (กะว่าจะสั่งมาให้หลานไปขายเพื่อนๆที่โรงเรียน เห็นบอกมีเพื่อนสนใจหลายคนมามุ่งดูกันเต็ม แต่ของมีแค่ 4 อัน) ซึ่งค้นไปค้นมา
คำตอบคือ “สั่งจากจีน” ถูกที่สุด
ด้วยความที่ผมเองไม่เคยสั่งของจากจีนมาก่อน และไม่เคยขายของออนไลน์มาก่อนด้วย ผมเลยถือเหตุผลเรื่องหลานนี้ มาเป็นข้ออ้างในการยอมกัดฟันลงทุน (ตังก็ไม่ค่อยจะมี เฮ้อ) ขอลองสั่งมันดูสักครั้งว่ะ ดูดิว่ามันจะเป็นยังไง ถือเป็นการเรียนรู้ เป็นประสบการณ์ (ตอนนี้ ถือเป็นบทเรียน T___T)
สั่งซื้อของจากจีนมาขาย !!
จริงๆมีเว็บขายส่งรายใหญ่ๆที่คนนิยมไปหาซื้อสินค้าของจีนหลายเว็บ เช่น TAOBAO, PAIPAI, 1688 แต่เนื่องจากผมไม่รู้ภาษาจีน จึงไม่ได้สั่งจากเว็บจีน แต่เข้าไปดูและสั่งของจากเว็บ aliexpress.com แทน (ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ) [ปัจจุบัน มาเปิดเป็นภาษาไทยแล้ว] เว็บ Aliexpress นั้นอยู่ในเครือเดียวกับ TAOBAO ของ Alibaba Group จะคล้ายๆ Amazon แต่เน้นขายส่ง (ปลีกก็ขาย) สินค้าที่ผลิตในประเทศจีน
ซึ่งหากคุณสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ราคาต่อชิ้นก็จะถูกลง ผมก็สั่งซื้อ สกุชชี่มา 5 แบบ ลงทุนไป 3 พันกว่าบาท รวมๆได้มาเกือบ 200 ชิ้น ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ของมาส่งให้ถึงบ้าน ในสภาพแบบอัดๆยัดใส่กล่องมา เป็นกล่องลังกระดาษ ที่ดูสมบุกสมบันเหมือนพึ่งจะผ่านร้อนผ่านหนาวมา ตัวสินค้าก็อยู่ในเกณฑ์พอรับได้ (ส่วนตัวผมไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงอยู่แล้ว เพราะ สั่งมาจากจีน) พอตรวจแล้วของครบ ก็เริ่มมาจัดและแพ๊คใส่ถุงใหม่ เพื่อเตรียมให้หลานไปขายที่โรงเรียน
โดยผมถามหลานว่า “คิดว่าจะขายหมดมั้ย ?”
น้องมาย “ไม่น่าจะหมด มันเยอะเกิน และถ้าขายหนูก็ขายเท่าเดิม คือ อันละไม่เกิน 20 บาท”
ผมก็เลยบอก “งั้นลองเปิดร้านขายคนอื่นๆที่ไม่ใช่เพื่อนที่โรงเรียนดูมั้ยล่ะ แบบขายออนไลน์ !!”
ซึ่งหลานผมท่าทางดูรู้สึกตื่นเต้นทีเดียว เมื่อพูดจบ
เปิดร้านขายของออนไลน์ ให้เด็ก 10 ขวบ
ในการเปิดร้านขายของออนไลน์ หลังจากที่คุณมีสินค้าแล้ว วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ การใช้ Facebook Page โดยในเรื่องสร้างเพจนั้น ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก แต่สร้างมาเฉยๆ ไม่ได้ เราจำเป็นต้อง มีการลงข้อมูลที่ชัดเจน มีการคิดเรื่องการตลาด และการดูแลเพจ หากต้องการจะทำให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งแม้ผมจะเคยสร้างและเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าและเพื่อนๆมาบ้าง แต่ในกรณีของ “ร้านน้องมาย” ผมไม่ได้คาดหวังจริงจังอะไรกับมันมากนัก คือ ต้องการสร้าง เพื่อให้หลานได้รู้เฉยๆว่าปัจจุบันนี้ หนูสามารถขายของ ผ่านทางเนตได้นะ ไม่ใช่แค่เอาไปขายที่โรงเรียน ผมก็จัดไป (เสียเวลา 1 วัน)
1. แพ๊คสินค้า
2. ถ่ายรูปสินค้า
3. อัดคลิปรีวิวสินค้า
4. วิเคราะห์ตลาด เพื่อดูคู่แข่ง และ เช็คราคาตลาด
5. ทำรูปภาพลงเพจ ลงราคา พร้อมโปรโมชั่น
โดยผมสร้างเสร็จ ในเดือน กันยายน 2557 แล้วผมก็ปล่อยทิ้งไว้ และไม่ได้ไปยุ่งกับมันอีกเลย
► เพจร้าน สกุชชี่ Squishy – Maai Shop
ท้าทายเด็ก !!
เมื่อผมมาเปิดเพจ Webbastard คนทำเว็บนอกคอก ซึ่งเป็นเพจของผมเอง ในเดือนธันวาคม 2557 ในตอนนั้น ยอด Likes เพจของ ร้านน้องมาย มีไม่ถึง 200 Likes (ของผมมีเกือบ 500) ไม่รู้ผีเข้าหรืออย่างไร ผมเกิดคิดอยากแกล้งหลานตัวเอง ประมาณว่า “ท้าทายเด็ก” …
10 วันก่อนเกิดเหตุ !! (25 มกราคม 2558)
ลุงโจ้ : “น้องมาย มาแข่งกันมั้ย ระหว่างเพจหนู กับเพจลุงโจ้ ใครจะมียอดไลค์มากกว่า”
น้องมาย : “ไม่สน”
ลุงโจ้ : “หากยอดไลค์เพจหนูแซงเพจลุงโจ้ได้ … ไม่ต้องจ่ายหนี้ค่าสกุชชี่“
(คือจะยกยอดหนี้ 3000 กว่าบาท ที่ลงทุนสั่งสกุชชี่จากจีนมา ยกหนี้ให้ทั้งหมด เพราะก่อนที่จะสั่งได้ตกลงกับหลานไว้ว่า ไม่ได้ออกตังให้นะ แค่ลงทุนให้ พอเธอขายได้ต้องใช้หนี้ต้นทุน)
ลุงโจ้ : “หมดเขตวันวาเลนไทน์ ตัดสินนับยอด 14 กุมภา”
น้องมาย (หันควับ) : “จริงน่ะ ? งั้น OK แล้วหนูต้องทำยังไง ? ตอนนี้ไม่เห็นมีคนมาซื้อเลย”
ลุงโจ้ : “ถ้ายังไม่มีคนซื้อ ก็แจกฟรีเลยสิ หรือ เอาคลิปที่เธออัด นั่งบ้าคุยอยู่คนเดียวนั่นและ อัพขึ้นเพจ”
… น้องมายก็ทำหน้ามุ่ยๆ แล้วก็เดินจากไป
หลานผมมันบ้า ชอบอัดคลิปรีวิวของเล่น นั่งคุยอยู่คนเดียวกับโทรศัพท์ และชอบขอให้ผมอัพขึ้น Youtube ให้
ซึ่งผมก็ปฎิเสธมาโดยตลอด เพราะขี้เกียจ โดยอ้างเหตุผลว่า Content ยังไม่ดี อัพไปก็ไม่มีคนดู 555+
แต่คลิปรีวิวสกุชชี่ ผมยอมอัพให้ เพราะมันใช้โปรโมทร้าน ซึ่งผมวางคอนเซ็ปง่ายๆและเป็นคนถ่ายคลิปเอง
ส่วนสคริปบทพูด น้องมาย พูดเอง สด! โดยผมแนะแนวทางคร่าวๆให้ (ถ่ายทำทั้งหมด 3 เทค)
วันเกิดเหตุ (7 กุมภาพันธ์ 2558)
ผมโดนหลานเล่นสะแล้ว เพราะยอดไลค์เพจของหลานแซงเพจผมไปแล้ว T____T ผมไม่ได้เข้าไปยุ่ง ไม่ได้เข้าไปดูอะไรเลย พึ่งจะมาเปิดดูวันนี้ ผมตกใจมาก … เห้ย!! มัน 500 กว่าไลค์แล้ว มาจากไหนเยอะแยะว่ะ ??? … ผ่านมา 10 วันเองเพิ่มมาเกือบ 400 Likes บ้าไปแล้ว !!
มันช่างน่าสงสัย เพราะหลานผม ไม่ได้ไปแชร์ลิงค์ แชร์เพจ ตัวเองที่ไหนเลย ไม่มีการไปสร้างลิงค์ฝากเพจใต้คอมเม้นท์ของเพจอื่นๆ (พวกชอบฝากเพจ … อายเด็กมั้ย!!) ที่สำคัญคือ ผมไม่ได้ทำ SEO ให้ด้วย เพราะเช็คอันดับของเพจ และใน Youtube (คลิปรีวิวสินค้าที่ทำ) ก็ไม่ได้ติดอันดับการค้นหา … เลยยิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นไปอีกว่า
• แล้วยอดไลค์มันมาจากไหนว่ะ ?
• หรือมันไปจ้างใครปั๊มไลค์ ?
• แล้วมันจะรู้จักปั๊มไลค์ได้ไง ?
• แล้วใครออกตัง ?
• หรือมันลงโฆษณา Facebook Ads ?
• บ้าาา … มันไม่มีบัตรเครดิต
โดนเด็ก 10 ขวบสอนเพิ่มยอดไลค์แฟนเพจ
บ้างครั้งอะไรที่เราคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่มันกลับเป็นไปได้ … ผมสอบถามกับน้องมาย ว่าทำยังไงมันถึงมีคนมาไลค์เยอะแยะ ภายในเวลาไม่กี่วัน แรกๆทำท่าว่าจะไม่บอก แต่คงเห็นลุงทำหน้าน่าสงสารมาก(ตอนถาม) ก็เลยใจอ่อนยอมบอกมาแต่โดยดี สรุปวิธีการที่น้องมายใช้เพิ่มไลค์เพจคือ …
1. หนูไปประกาศบอกเพื่อนในห้องที่โรงเรียน
2. หนูไปบอกเพื่อน ป.4 ห้องอื่น
3. หนูไปบอกรุ่นพี่ ป.5 ป.6
4. หนูบอกเพื่อนๆให้ช่วยกันบอกต่อๆ
5. ใครรู้จักมา Add เฟสเป็นเพื่อน หนูจะบอกให้ช่วยกดไลค์เพจ
เหอะ!! นี่มัน Viral Marketing ชัดๆ!! การตลาดแบบปากต่อปาก (หรือ การตลาดแบบบอกต่อ)
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงถึงพลังของ Viral Marketing – การตลาดแบบปากต่อปาก ซึ่งแม้จะเป็นวิธีแบบเก่าๆ แต่ก็ยังคงใช้ได้ดีมาก และ รับรองได้ว่าการตลาดแบบปากต่อปากนี้จะอยู่คู่วงการ Marketing ไม่ว่าจะ Online หรือ Offline ไปอีกนานแสนนาน
ผมแอบหวังนิดๆว่า มันจะมีคนมาสนใจซื้อหาก มีคนไลค์เพิ่ม พอแอบไปเช็คดูใน Message ของเพจ ก็มีคนติดต่อมาคนหนึ่ง แต่เห็นหลานคุยแล้ว ติดตรง “โอนเงิน” เลยไม่ได้สั่ง ซึ่งในจุดนี้ผมคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว นั่นคือ Target Group ของเรา (กลุ่มเป้าหมายลูกค้า) เป็นเด็กประถม โอกาสให้เด็กโอนเงินเข้าบัญชีมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ถ้าจะขายสกุชชี่แบบออนไลน์จริงๆ คนต้องเพิ่มช่องทางในการชำระเงิน เช่น รับเป็นบัตร หรือ รับเติมเงินเข้ามือถือ เป็นต้น … แต่อย่างที่บอกว่า ผมไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก เลยไม่ได้เข้าไปจัดการ
ซึ่งพอผมเห็นว่าคนเริ่มไลค์มากขึ้น เลยแกล้งไปถามน้องมาย
แล้วก็ได้รับคำตอบที่เป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมา
ลุงโจ้ : “คนไลค์เยอะ แล้วขายได้บ้างยัง ?”
น้องมาย : ” ยังขายไม่ได้ มีแต่คนมากดไลค์ แต่ไม่มีคนซื้อ … แต่หนูไม่เสียใจ “
ลุงโจ้ : “อ้าวทำไมอ่ะ ?”
น้องมาย : “ก็หนูไม่ต้องจ่ายหนี้ลุงโจ้แล้ว เพราะหนูคิดว่า ถึงวันวาเลนไทน์ ไลค์หนูเยอะกว่าของลุงโจ้แน่ๆ”
ลุงโจ้ : …………………. (มันช่างน่า …. #$^@%!)
โปรดช่วยคุณลุงตาดำๆ ที่โดนหลานกลั่นแกล้ง เพื่อไม่ให้เขาเสียเงิน 3 พันกว่าบาท
ด้วยการกด Like เพจ … คนทำเว็บนอกคอก ของลุงด้วยเถิด ►
ใครที่กด Like ไปแล้ว … รบกวนแล้วช่วย Share ต่อที
(เพื่อนลุงไม่ค่อยมี … ทำการตลาดแบบปากต่อปาก สู้หลานมันไม่ได้)
_/\_
JoJho
คนทำเว็บนอกคอก
หมายเหตุ : พวกคุณอย่าไป Like เพจหลานผมนะ ถือว่าลุงขออออ (ถ้ายังไงรอหลังวาเลนไทน์ )
Noted:
☺ ถ้าจะขายของออนไลน์ การสั่งของจากจีนเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งเพราะราคาถูก แต่ต้องสั่งทีละเยอะๆ
☺ เราจำเป็นต้องศึกษาตลาดให้ดีก่อน ต้องดู Target Group , ดู Trend , วิเคราะห์คู่แข่ง
☺ เราจำเป็นต้องรู้ช่องทางในการขาย หรือแหล่งรวมตัวของคนที่คิดว่าจะซื้อเรา (เช่น Facebook Group กลุ่มต่างๆ)
☺ การทำคลิปลง Youtube เพื่อโปรโมทหรือรีวิวสินค้า เป็นช่องทางการโปรโมทที่ดีมาก ทางหนึ่ง เพิ่มความน่าเชื่อถือ
☺ การจัดกิจกรรมขึ้นในเพจ เช่น กิจกรรมเนื่องในงานวันสำคัญ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีอย่างหนึ่งในการขายของออนไลน์
☺ อย่าคาดหวังอะไรมาก กับเด็ก 10 ขวบ เพราะคุณอาจปวดตับ !! >.<